สงสัยกันไหม? มาทำความรู้จักตัวเลขบน MicroSD Card กันดีกว่า!!

MicroSD Card ก็นับเป็นอุปกรณ์สำคัญชนิดนึงเพราะเราใช้งานกับมันได้หลากหลายกับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน,กล้องถ่ายรูปถ่ายวีดีโอต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ขาดกันไม่ได้เลยทีเดียว เพราะมันสามารถใช้งานเป็นหน่วยความจำต่างๆ อาจจะเป็นหน่วยจำเพิ่มเติมหรือหน่วยความจำหลักสำหรับทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องยอมรับจริงๆว่าสมัยนี้ความไม่พ้นเรื่องความสะดวกในการพกพาใช้งานต่างๆคงหนีไม่พ้นเจ้า MicroSD Card พวกนี้แน่นอน แต่!! เรารู้ไหมที่ๆเราเรียกกันว่า Class 2 4 6 10 คืออะไร? แล้วอะไรคือ Class? มันมีด้วยหรือ Class? สงสัยกันใช่ไหมครับ? งั้นเราคลายสงสัยกันดีกว่า


Class บน MicroSD Card คืออะไร?


Class คือความเร็วขั้นต่ำที่การ์ดตัวนั้นใช้ เช่น Class 10 ก็คือความเร็วต่ำสุดที่ 10MB/s (ส่วนเรื่องความเร็วสูงสุดนั้น ตัวผู้ผลิตจะเป็นคนกำหนด)

แล้ว Class ที่นิยมใช้กันอยู่มี Class อะไรบ้าง?


ที่นิยมใช้ๆกันอยู่ทั่วๆไปนั้นก็จะมี Class 2 4 6 และ 10 ครับ

แต่ละ Class ทำงานอย่างไรเหมาะกับงานอะไร?


Class 2 ส่วนมากจะใส่ในอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการความเร็วมากนัก ส่วนใหญ่จะใช้กับ มือถือ เครื่องเล่น MP3
Class 4 กับ 6 จะเป็นความเร็วที่เร็วกว่า Class 2 ขึ้นมาหน่อย ส่วนมากจะใส่ในกล้องวีดีโอแบบ HD อาจจะใช้งานกับ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต
Class 10 ส่วนมากจะนิยมใส่กับกล้อง DSLR หรือกล้องวีดีโอแบบ Full HD หรืออุปกรณ์ที่ต้องการความเร็วสูง

ถ้าหากเราซื้อ Class มาใช้ต่ำกว่า Class ที่บอกไปหล่ะ?


สมมุติว่าเราซื้อ Class 2 มาใส่กับกล้อง DSLR หรือกล้องวีดีโอ Full HD ในระหว่างที่เราถ่ายภาพนั้น ตัวการ์ดจะบันทึกภาพไม่ทัน การบันทึกภาพอาจจะช้าหรืออาจะถึงขั้นหยุดถ่ายหรือบางทีอาจจะทำให้เครื่องค้างในระหว่างเรียกใช้งานเยอะๆก็ได้นะครับ 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะอยู่ที่ตัวกล้องที่ใช้ถ่ายวีดีโอด้วยนะครับ ไม่ได้อยู่ที่ตัวการ์ดเพียงอย่างเดียว ในกรณีนี้เราอาจจะหมายถึง สมาร์ทโฟน มือถือ แท็บแล็ต อาจจะไม่ใช่ถ่ายด้วยกล้อง DSLR อย่างเดียวก็ได้นะครับ




อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ถ้าเราเลือกซื้อ MicroSD Card ที่ไม่เหมาะกับอุปกรณ์ของเราเองจะเป็นปัญหาอย่างไร เราถึงต้องนึกถึงว่าเราซื้อมาใช้งานได้กับอุปกรณ์เรามากน้อยแค่ไหน มันตรงกับความต้องการของเราหรือเปล่า เราใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพไหม MicroSD Card ตัวนี้ตอบโจทย์เราหรือเปล่า และแน่นอนก่อนที่เราจะซื้ออย่าลืมตรวจสอบการใช้งานของอุปกรณ์และ MicroSD Card และรวมไปถึง Class ด้วย มิเช่นนั้นอาจจะซื้อไปแล้วใช้งานไม่ได้อย่างที่เราต้องการจะทำให้เสียเงินไปฟรีๆ ก็ได้นะครับ


0 ความคิดเห็น :

ขั้นตอนเบื้องต้นก่อนเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ

ขั้นตอนเบื้องต้นก่อนเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ


ในขั้นตอนแรกก่อนที่เราจะเลือกซื้อโทรศัพท์นั้น เราจำเป็นต้องดูงบประมาณและความต้องการของเราก่อน เมื่อเรามีงบประมาณที่พอจะซื้อตรงกับความต้องการเราแล้วก็จะสามารถซื้อได้เลย แต่ก่อนที่จะซื้อเราก็ต้องรู้ก่อนว่าโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ๆกันอยู่ทุกวันนี้มีราคาประมาณเท่าไหร่และอยู่ในเกณฑ์ ในที่นี้ผมจะแยกประเภทโทรศัพท์มือถือตามเกณฑ์ของราคา และคุณภาพทั่วๆไปนะครับ บางคนอาจจะมีช่องทางที่ไม่เหมือนใครหรือทราบวิธีการซื้อขายในอีกราคานึงก็แล้วแต่ผู้อ่านเลย เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

ประเภทที่ 1. ราคามือถือต่ำกว่า 5,000

ประเภทนี้ส่วนมากจะใช้งานได้พอประมาณ แต่ถ้าเล่นเกมส์หรืออะไรต่างๆจะไม่ค่อยดีอยู่ไม่นานและทนส่วนมากจะเน้นพวกให้พ่อแม่ใช้หรือคนไม่ค่อยสนใจเทคโนโลยี ส่วนมือถือที่พบเห็นได้ในข้อนี้ ราคาต่ำกว่า 5000 นั้นก็คือพวกมือถือจีน หรือมือถือก๊อปส่วนมากจะเห็นได้เยอะแยะ แต่ส่วนมากจะใช้งานไม่ได้ยาวนาน จะพังงาย ไม่คงทน

ประเภทที่ 2. ราคามากกว่า 5,000 แต่ไม่เกิน 10,000 (5,000-10,000)

ประเภทนี้ก็จะอีกระดับนึงคุณภาพจะดีกว่าต่ำกว่า 5,000 เยอะขึ้นมาในอีกระดับนึง จะเริ่มมีของแบรนด์มากขึ้นแต่ส่วนมากจะเป็นตลาดระดับล่างอยู่แต่ถ้ามีคนใช้แต่คุณภาพดีราคาประหยัดก็จะมีพวก zenfone ซึ่งคนเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นสเปคดีราคาระดับล่าง แต่มีไม่กี่รุ่นมาก

ประเภทที่ 3. ราคามากกว่า 10,000 แต่ไม่เกิน 15,000 (10,000-15,000)

นี่คือราคาของมือถือระดับกลางส่วนมากจะขายเยอะ และการใช้งานก็ระดับกลางๆสมชื่อเช่นกัน การคงทนหรือคุณภาพก็จะอยู่ได้ในระดับกลางๆ ใช้งานไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับขั้นว่าดีมาก

ประเภทที่ 4. ราคามากกว่า 15,000 แต่ไม่เกิน 20,000 (15,000-20,000)

ราคาประมาณนี้บางแบรนด์จะเป็นมือถือระดับ ไฮเอ็นแล้ว หรือเรือธง แต่บางยี่ห้อหรือบางแบรนด์จะเป็นระดับกลางอยู่ หรือไม่ก็เอาระดับเรือธงของแบรนด์ตัวเองมาตัด option บาง option ออก ตัดนู้นออกบ้างนี่ออกบ้างเพื่อจะเอามาขายในราคานี้

ประเภทที่ 5. ราคามากกว่า 20,000 ขึ้นไป

ราคาประมาณนี้จะเป็นมือถือประเภทเรือธงหรือไม่ก็มือถือที่ดีที่สุดของแบรนด์แล้ว ส่วนราคาอันไหนจะมากกว่าหรือน้อยกว่าก็แล้วแต่แบรนด์เลย อาจจะมีข้อแตกต่างเช่น วัสดุดีกว่าจึงขายแพงกว่า หน่วยความจำมากกว่าเลยต้องเพิ่มราคาขึ้น

แต่ถ้าบางคนอาจจะมองถ้าอยากใช้งานหรือไม่ได้จริงจังเรื่องมือถือใหม่หรือเก่าแต่ใช้งานได้ก็ส่วนมากจะมองของมือสอง เพราะ Android อย่างที่รู้ๆกันคือราคามันจะตกไวมาก... ไว้กว่าของ Apple อีก เช่นซื้อมาได้ 1 วันราคาก็ลดลงครึ่งนึงแล้วก็มี ส่วน Apple ซื้อมาได้หลายวันราคายังไม่ลดลงเลยหรือไม่ก็ลดลงมา 3-4 พันเอง ถึงแม้จะใช้งานมาได้หลายเดือนแล้วก็ตาม

ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้คือการแยกประเภท เพื่อที่จะให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือได้ตามที่การของตัวเองอาจมีข้อผิดพลาดหรือข้อมูลอันใดที่ขัดแย้งกับผู้อ่านก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

1 ความคิดเห็น :